แค่หายใจก็ติดเชื้อร้ายได้ ป้องกันการติดวัณโรค ด้วย Bipolar Ionizer Technology

ขณะที่ปัจจุบันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 กำลังเป็นที่พูดถึงและแพร่ระบาดไปทุกทวีปทั่วโลกนั้น ในอดีตโรค วัณโรค ก็ถือเป็นโรคติดต่อในระบบทางเดินหายใจที่สร้างความหวาดกลัวและคร่าชีวิตของใครหลายคนเช่นเดียวกัน ซึ่งในวันที่ 24 มีนาคมของทุกปีถูกกำหนดให้เป็นวัน “วัณโรคโลก”

เชื้อวัณโรคจะแพร่กระจายจากปอด หลอดลม หรือกล่องเสียงของผู้ป่วยวัณโรค เมื่อผู้ป่วยไอจามพูดดังๆ ตะโกน หัวเราะ หรือร้องเพลง เชื้อเหล่านี้จะอยู่ในละอองฝอยของเสมหะที่ออกมาสู่อากาศ อนุภาคของละอองฝอยขนาดใหญ่มักตกลงพื้นและแห้งไป เหลือส่วนที่เล็กที่สุดที่มีเชื้อวัณโรคจะลอยอยู่ในอากาศได้หลายชั่วโมง และถูกทำลายโดยแสงแดด ซึ่งการไอในเวลา 1 ชั่วโมง ผู้ป่วยระยะแพร่เชื้อสามารถปล่อยละอองเสมหะที่มีเชื้อได้ตั้งแต่ 18-3,798 ละออง

เมื่อคนสูดหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกาย เชื้อวัณโรคที่มีขนาดใหญ่จะติดอยู่ที่จมูกหรือลำคอ ซึ่งมักไม่ก่อให้เกิดโรค แต่ส่วนที่มีขนาดเล็กๆ จะเข้าไปสู่ที่ปอด เชื้อจะถูกทำลายด้วยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย หากมีเชื้อที่ถูกทำลายไม่หมดจะแบ่งตัวทำให้เกิดการติดเชื้อ ถ้าระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงจะสามารถยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อวัณโรคได้ แต่การติดเชื้อในคนเราส่วนมากส่งผลให้เกิดการติดเชื้อแบบแฝง และราวหนึ่งในสิบท้ายที่สุดเชื้อจะพัฒนาไปเป็นโรคที่มีฤทธิ์ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้ผู้ป่วยขั้นเสียชีวิตได้

ใครบ้างที่เป็นกลุ่มเสี่ยง

  • ผู้ที่อาศัยร่วมบ้าน หรือใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค
  • ผู้ป่วยเบาหวาน
  • ผู้ที่ติดเชื้อ HIV
  • ผู้สูงอายุ

 

ป้องกันวัณโรคปอดได้อย่างไร

  1. วัคซีนบีซีจี (Bacillus Calmette – Guerin) ถือว่าเป็นวัคซีนพื้นฐานที่ต้องฉีดให้กับเด็กทารกแรกเกิดทุกคนภูมิคุ้มกันจะเกิดภายหลังฉีด 4-6 สัปดาห์ และอยู่ได้นานประมาณ 10 ปี วัคซีนจะให้ผลในการป้องกันวัณโรคได้ประมาณ 80% รวมถึงผู้ที่ทำการทดสอบปฏิกิริยาทางผิวหนังต่อเชื้อวัณโรค หรือ Tuberculin skin test ถ้าผลตรวจออกมาเป็นลบ ก็ต้องฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน
  2. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่
  3. ควรตรวจร่างกายโดยการเอกซ์เรยปอดหรือตรวจเสมหะ (AFBอย่างน้อยปีละ 1ครั้ง ถ้าพบว่าเป็นวัณโรคจะได้รีบรักษาก่อนที่จะลุกลามมากขึ้น
  4. ถ้ามีอาการผิดปกติที่น่าสงสัยว่าเป็นวัณโรค เช่น ไอเรื้อรัง 2 สัปดาห์ขึ้นไป มีไข้ต่ำๆโดยเฉพาะตอนบ่ายหรือค่ำ เจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ เบื่ออาหาร น้ำหนักลดควรรีบไปรับการตรวจรักษาโดยการเอกซเรย์ปอด ตรวจเสมหะ
  5. โรงพยาบาลเป็นแหล่งรวมเชื้อโรค ไม่ใช่สถานที่สะอาดอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะโรงพยาบาลคือสถานที่รวมคนป่วย คนที่นั่งรถเข็นผ่านไปอาจมีเชื้อวัณโรคหรือเชื้ออื่นๆที่สามารถติดต่อกันผ่านระบบทางเดินหายใจ บริษัท แอเรียลคอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ขอแนะนำ เครื่องฆ่าเชื้อโรคและฟอกอากาศ Phoenix Clean Zoneด้วย ระบบ Bipolar Ionizer Technology

Bipolar Ionizer Technology หรือเรียกสั้นๆว่า BIT

BIT คือ นวัตกรรมที่จะจำลองสภาพอากาศธรรมชาติมาไว้ในพื้นที่ของเรา โดยการกำจัดสิ่งที่เป็นอันตราย เช่น วัณโรค แบคทีเรีย  เชื้อรา สารก่อภูมิแพ้ รวมไปถึงกลิ่นอับชื้น หรือสิ่งต่างๆที่ล่องลอยอยู่ภายในอากาศ โดยใช้วิธีการปล่อยอนุภาคออกซิเจนบวก และอนุภาคออกซิเจนลบออกมา โดยใช้ใช้ระบบ Corona Discharge System ออกซิเจนบวก  และออกซิเจนลบ  ที่ผลิตออกมาจะไปรวมกับไอน้ำในอากาศ กลายเป็นไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และไฮดรอกไซด์ จับตัวกันรอบอนุภาคที่เป็นอันตรายในอากาศ เพื่อทำลายของเยื่อหุ้มเซลล์โครงสร้างโมเลกุล,โปรตีนภายในเซลล์ทำให้สารอันตรายหมดฤทธิ์ลง และสลายไปในอากาศ BIT จะมอบอากาศที่สะอาด บริสุทธิ์ และไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองจากอากาศที่แห้งอย่างแน่นอน  โรงพยาบาลชั้นนำหลายแห่งเลือกใช้ และได้รับผลการตอบรับที่ดี ว่าสามารถกำจัดเชื้อไวรัสและกลิ่นไม่พึงประสงค์ในแผนก เช่น แผนกไตเทียม วอร์ดผู้สูงอายุ เป็นต้น           

สินค้าที่เกี่ยวข้องกับบทความนี้

ผลิตภัณฑ์ฟอกอากาศ Phoenix Clean Zone Model SAM

ผลิตภัณฑ์ฟอกอากาศ Phoenix Clean Zone Model VINO

ผลิตภัณฑ์ฟอกอากาศ Phoenix Clean Zone Model MEGA

บทความที่เกี่ยวข้อง